ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร! พระเอกที่เคยสร้างรอยยิ้มให้เรา "เอกรัตน์ สารสุข" ที่ออกจากวงการแบบสายฟ้าแล่บ เกิดอะไรขึ้น ล่าสุดเปลี่ยนไปแค่ไหนมาดูกัน




เป็นอีกหนึ่งพระเอกผิวเข้มที่ห่างหายไปจากวงการไปนานสำหรับ เอกรัตน์ สารสุข ที่ล่าสุดดูจากภาพแล้ว ดูจะปล่อยเนื้อปล่อยตัว ใช้ชีวิตธรรมดาดั่งชายหนุ่มทั่วไป แว่วๆ มาว่าเจ้าตัวประกอบธุรกิจเครื่องประดับด้วย  หลังเคยฝากผลงานทั้งละครและภาพยนต์มามากมายไม่ว่าจะเป็น จันดารา, อกธรณี , ทัดดาวบุษยา , แรงรัก แรงริษยา , แฝดล่องหน ,เปรตวัดสุทัศน์ และอีกมากมายก่อนจะปิดท้ายกับละครเรื่อง บ่วงหงส์ และหันหลังให้กับวงการในที่สุด โดยเจ้าตัวได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์เหตุผลที่หันหลังกับวงการว่า "ทำใจไม่ได้หากไม่ได้รับบทพระเอก" เรียกว่าทำเอาตอนนั้นฮือฮาเลยทีเดียว
ล่าสุดนั้น เขาได้ออกมาพูด อะไรทำให้ตัดสินใจหันหลังให้วงการ?
“ที่เลิกเล่นละคร เพราะสมัยก่อนผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความเป็นตัวเองสูง คิดอะไรด้านเดียว ไม่หลากหลาย ตอนนั้น อายุ 29 เล่นละครเรื่อง มาทาดอร์ ก็ประกาศว่าจะลาวงการตอนอายุ 32 เพราะผมรับไม่ได้ที่จะต้องอายุ 30 แล้วต้องมารับบทเป็นพ่อ คือยอมรับว่าตอนนั้นเรายังเด็กและคิดด้วยอัตตา ถ้าจะให้เป็นอย่างนั้น เลิกเล่นดีกว่า และมันเหมือนบทมาถึงทางตัน ไม่มีบทแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เล่นแล้วพอถึงเวลาที่เรากำหนดไว้ ก็ต้องทำตามที่พูดเอาไว้ แล้วก็ออกมาทำอย่างอื่น แม้ผู้ใหญ่จะเสนอบทใหม่มาให้ แต่ผมก็ปฏิเสธไป เพราะบทที่ได้มาไม่ได้เป็นพระเอก
ตอนนั้นก็ไม่ฟังคำทัดทานของใครด้วย เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ผมเป็นคนมีความเป็นตัวเองสูง มีจุดยืนแบบโง่ๆ การทำงานในวงการบันเทิงเมื่อถึงจุดนึงเราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วเดินต่อไป กับอีกจุดนึงคือไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วเลิก เลิกแล้วมานั่งค้นหาตัวเอง พอถึงจุดนึงก็จะมานั่งคิดถึงงานในวงการบันเทิง อย่างผมตอนนี้ถ้าจะกลับไปทำงานมันต้องลดน้ำหนักก่อน เพราะอ้วนๆ อย่างนี้ไปทำไม่ได้หรอก ไปทำก็เสียชื่อเปล่าๆ มันไม่มีบทสำหรับคนอ้วนในเมืองไทย ตอนที่ออกมาจากวงการใหม่ๆ ก็ยังมีคนติดต่อมานะ แต่ผมก็บอกเค้าไปว่าไม่อยากจะทำลายสิ่งที่สร้างขึ้นมา อยากให้คนจดจำในมุมของพระเอก แต่เราลืมไปว่าในเมืองไทยไม่มีตำนาน คนค่อยๆ ลืมเราไปเพราะสุดท้ายมันก็แค่ชื่อเสียงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
แรกๆ ผมก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ที่หลงระเริงไปกับชื่อเสียงบ้าง แต่พอเวลาผ่านไป ก็เริ่มปรับตัวและอยู่กับมันได้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองโด่งดัง หรือว่าเรียกเรตติ้งได้ เข้าใจมากขึ้นว่าการทำงานมันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างรวมกัน จะดังได้ก็ต้องมีนางเอกที่ร่วมแสดง ผู้กำกับ เพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ หรือว่าจะเป็นบทประพันธ์ หลายๆ อย่าง จะเอาตัวเราเป็นตัวเรียกเรตติ้งคนเดียวคงไม่ใช่หรอก”




ถ้ามีโอกาสอยากจะกลับไปทำงานอีกมั้ย?
“ตอนนี้ก็ยอมรับนะว่าคิดถึงวงการ ถ้ามีบทดีๆ เหมาะสมรึเปล่า ก็น่ากลับไปเล่นอีกครั้งนะ แต่ผมต้องลดน้ำหนักก่อน แต่การจะกลับไปในวงการมันไม่ใช่แค่ตัวพี่อย่างเดียว ต้องดูผู้ใหญ่และคนที่ให้โอกาส และตัวเราก็ต้องพร้อม ใจพร้อมแต่ร่างกายไม่พร้อม (ยิ้ม) แต่เอาจริงๆ ผมก็อยากจะไปทำงานเบื้องหลัง ทำรายการ หรือว่าเป็นผู้จัดมากกว่า แต่ก่อนจะไปทำตรงนั้น เราก็ควรจะกลับมาเริ่มงานทางการแสดงก่อน ซึ่งเป็นอะไรที่เราถนัดและน่าจะทำได้ดีกว่า แล้วค่อยขยับขยายไปทำงานเบื้องหลัง ผมรู้สึกเสียดายชื่อเสียงที่สร้างมานะ กว่าที่จะสร้างมันได้ มันยากมาก แต่การที่จะรักษามันไว้ ยากยิ่งกว่า แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเราขึ้นไปจุดที่สูงสุดแล้ว วันนึงก็จะต้องลงมาจุดที่ต่ำสุดแน่นอน ซึ่งวันนั้นผมไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้ผมยอมรับได้แล้ว”
ทุกวันนี้เวลาแฟนละครเจอ ยังจำได้มั้ย? 
“ทุกวันนี้ กลุ่มแฟนละครที่อายุ 20 กว่าๆ ขึ้นไป ก็จะมีจำผมได้บ้าง ก็จะถามว่าเมื่อไหร่ผมจะกลับมาเล่นละคร ทำอะไรอยู่ ก็จะถามว่าทำไมไม่รับงานละคร เวลาเจอแฟนละครยิงคำถามแบบนี้ก็รู้สึกดีนะ ที่เค้ายังจำเราได้ รู้สึกว่าเค้าคิดถึงเรา เค้ามีความรู้สึกดีๆ ให้กับเรา ฝากขอบคุณผ่านสื่อนี้ไปด้วยนะ”











ที่มา : http://www.siamupdate.com/news-181163

0 comments:

Post a Comment